วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552

(ต่อ ๓)


วันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคมเวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่ง ๓ คนขึ้นไปเฝ้าตรวจอาการ ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปด้วยตามเคย เมื่อกลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนักมาก พระบังคนเบาที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคนเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิตทั่วพระองค์ จึงทำให้เป็นพิษเซื่องซึมบรรทมหลับอยู่เสมอ หมอตั้งพระโอสถถวายเร่งให้มีพระบังคนเบาแรงขึ้นทุกทีพวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการยื่นต่อเจ้านาย เสนาบดี พระอาการมากเหลือกำลังพอที่จะถวายการรักษาแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชานารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาแต่เช้า ได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการที่หมอทำไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่า ควรให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นาย ฉัน หุ้มแพร(ทิตย์ ณ สงขลา) รีบเอารถยนต็ไปรับมาทันที พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปตรวจเฝ้าพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้ำพระเนตรไหล แต่ไม่ตรัสว่าอะไร พระองค์เจ้าสายฯ กลับลงมายืนยันว่าพระอาการยังไม่เป็นไร เชื่อว่าที่บรรทมหลับเซื่องซึมอยั้นด้วยฤทธิ์พระโอสถต่างๆ พอฤทธิ์พระโอสถหมดแล้วก็คงจะทรงสบายขึ้น เพราะพระชีพจรก็ยังเต้นเป็นปกติ พระองค์เจ้าสายฯ กลับนำพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ตรัสทักว่า “หมอมาแล้วหรือ” ได้เท่านั้นแล้วก็ไม่ได้รับสั่งอะไรอีกต่อไปพระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็นไม่มีพระบังคนหนักและเบาเลยพระหฤทัยอ่อนลงมาก ยังบรรทมหลับเซื่องซึมอยู่เสมอ เวลาย่ำค่ำสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์ฯ และหมอขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปด้วย และเห็นหายพระทัยดังยาวๆ และหายพระทัยทางพระโอษฐ์พ่นแรงๆ จนเห็นพระมัสสุไหวได้แต่ไกล สังเกตดูพระเนตรไม่จับใครเลย ลืมพระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระบรมราชินีนาถกราบทูลว่าเสวยน้ำ ยังทรงพยักพระพักตร์รับได้ และกราบทูลว่า พระโอสถแก้พระศอแห้งของพระองค์เจ้าสายฯ ก็ยังรับสั่งว่า “ฮือ” แล้วยกพระหัตถ์ขวาและซ้ายที่สั่นขึ้นเช็ดน้ำพระเนตรคล้ายทรงพระกรรณแสง พระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรี พระราชเทวีซับเช็ดพระเนตรด้วยผ้าซับพระพักตร์ชุบน้ำถวาย หมอฉีดพระโอสถถวายช่วยบำรุงพระหฤทัยให้แรงขึ้นตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งนั่งประจำคอยจับพระชีพจรตรวจพระอาการผลัดเปลี่ยนกันประจำอยู่ที่พระองค์ การหายพระทัยค่อยเบาลงๆ ทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่มีอีกเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึ้นไปเฝ้าอีกครั้ง ก็พอดีหมอรีบทูลลงมาว่า เสด็จสวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบ เมื่อเวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ และ พระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมด้วยความเศร้าโศกอาลัย ทรงกรรณแสง คร่ำครวญสะอึกสะอื้นทั่วกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ที่นั้นด้วย กราบถวายบังคมมีความเศร้าโศกอาลัยแสนสาหัส ร่ำร้องไห้มิได้หยุดหย่อนเลย
ในที่พระบรรทม และตามเฉลียงเต็มไปด้วยฝ่ายในและฝ่ายหน้า ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ระงม เซ็งแซ่และทุ่มทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลมพายุใหญ่ พัดต้นและกิ่งก้านหักล้มราบไปฉันใด บรรดาฝ่ายในและฝ่ายหน้าทั้งหมด ล้มกลิ้งเป็นลมไปตามกันฉันนั้น ด้วยความเศร้าโศกาอาดูร เป็นอย่างล้นเหลือที่จะรำพันให้สิ้นสุดได้

สมเด็จพระศรีศวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันสัสสาอัยยิกาเจ้า(สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี)
ข้าพเจ้าต้องวิ่งลงไปตามหมอ ขึ้นไปแก้ท่านที่ประชวรพระวาโยกันเป็นการใหญ่ และต้องเชิญเสด็จสมเด็จพระบรมราชินีนาถขึ้นพระเก้าอี้หามกลับไปส่งที่พระตำหนักสวนสี่ฤดู เพราะประชวรพระวาโยและทรงชักกระตุกด้วย เจ้านายพระองค์อื่นและเจ้าจอมมารดาที่เป็นลม ก็มีผู้ช่วยพากันไปส่งตำหนักที่อยู่กันเรื่อยๆไป ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ซึ่งประชวรพระวาโยบรรทมอยู่ที่เก้าอี้ปลายพระแท่นนั้น ก็ต้องใช้เก้าอี้หามเชิญเสด็จไปยังพระตำหนักของพระองค์ท่าน
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมกระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

เวลานั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทูลเชิญเสด็จ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ให้เสด็จกลับลงไปชั้นล่าง ประทับห้องแป๊ะเต๋ง พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาผู้ใหญ่ องคมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งทรงกรรณแสงและร้องไห้กันเสียงระงมเซ็งแซ่ทั่วไปทั้งพระที่นั่ง
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงคุกพระชงฆ์ลงกราบถวายบังคมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สืบสนองพระองค์สมเด็จพระชนกาธิราชต่อไป พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ก็กราบถวายบังคมทั่วกัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงเรียกประชุมพร้อมกันในเวลานั้น เพื่อหารือที่จะจัดการสรงน้ำพระบรมศพ และเชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันพรุ่งนี้ และออกประกาศข่าวการสวรรคต และอื่นๆ
ในระหว่างที่ประชุมกันอยู่นี้ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิ์ฯ และข้าพเจ้า พร้อมกับ เจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี (เพิ่ม ไกรฤกษ์) เจ้าหมื่นเสมอใจราช (อ้น นรพัลลภ) ขึ้นไปกราบถวายบังคม แล้วได้ฉลองพระเดชพระคุณ ช่วยกันเชิญพระองค์เลื่อนขึ้นไปหนุนพระเขนย จัดตกแต่งพระเขนย และผ้าลาดพระที่ ทั้งจัดแต่งพระองค์ให้เรียบร้อย แล้วพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสรรพสิทธิ์ฯ กับข้าพเจ้าถวายพระภูษา คลุมพระบรรทมคนละข้าง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี ประทับเป็นประธานอยู่ด้วย ครั้นจัดเรียบร้อยปิดพระวิสูตรแล้วกราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่าง พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เพิ่งเสร็จการประชุม และกลับไปเมื่อจวนสว่าง ในคืนนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ประทับแรมอยู่ที่ห้องพระบรรทมขาว พระที่นั่งอัมพรสถาน มีตำรวจหลวงและทหารมหาดเล็กล้อมวงรักษาการ ตามราชประเพณีตลอดคืนวันอาทิตย์ ที่ ๒๓ ตุลาคม เวลาเช้า ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคมพระบรมศพอีกครั้งหนึ่ง พร้อมด้วยเจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี เจ้าหมื่นเสมอใจราช และหลวงศักดิ์นายเวร (ม.ร.ว. ลภ อรุณวงศ์) พร้อมกันเชิญพระบรมศพจากพระแท่นที่พระบรรทม ไปประทับพระแท่นสำหรับสรง แล้วรื้อพระแท่นที่พระบรรทมออก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี ประทับเป็นประธาน ในการถวายน้ำสรงพระบรมศพเป็นส่วนฝ่ายใน ครั้นแล้วจึงเชิญพระบรมศพขึ้นพระแท่นที่จัดไว้ใหม่สำหรับพระเกียรติยศ เพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพ เป็นพระราชพิธีตอนบ่ายในเวลานี้ข้าพเจ้าได้กราบถวายบังคมที่พระบาทยุคลถวายน้ำหอมสรงพระบาท และซับพระบาทด้วยผ้าเช็ดหน้า ไว้เป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นที่สักการบูชา ได้พิศดูพระพักตร์ในเวลานี้เหมือนกำลังบรรทมหลับ พระพักตร์ยิ้มน้อยๆ ดูสง่างามเหลือเกิน กระทำให้ตื้นตันใจ ต้องร้องไห้ด้วยความอาลัยเศร้าทวียิ่งขึ้น มิใคร่จะจากพระบาทยุคลไปได้เลย ได้ทำหน้าที่ไปพลางร้องไห้คร่ำครวญไปพลางจนแล้วเสร็จ กราบถวายบังคมลากลับลงไปข้างล่างทางราชการได้ประกาศข่าวการเสด็จสวรรคตให้ประชาชนชาวสยามได้ทราบทั่วกัน ดังนี้“มีรับสั่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งได้สำเร็จราชการแผ่นดินให้ประกาศทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยพระโรคพระธาตุพิการมาตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม พระโรคกลายไปในทางพระวักกะพิการ แพทย์ได้ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการหาคลายไม่ ถึง ณ วันที่ วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม เสด็จสู่สวรรคตเวลา ๒ ยามกับ ๔๕ นาที จะได้เชิญพระบรมศพสู่พระโกษฐ์แห่จากพระราชวังดุสิตไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ความเศร้าโศกทั้งหลายแก่ประชาชนทั้งหลายทั่วไปในพระราชอาณาจักร เพราะเหตุว่าพระชนกาธิราชได้ทรงทำนุบำรุงมาทั่วกัน...”การเสด็จสวรรคตของพระมหากษัตริย์แต่เดิมมาประชาชนต้องโกนหัวและนุ่งขาวหรือดำไว้ทุกข์ทั่วทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง จะเต็มใจหรือไม่นั้นไม่มีทางเลือกเพราะเป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องทำตามพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้ตระหนักถึงความเรื่องนี้จึงได้ทรงแก้ไขเสียใหม่โดยโปรดเกล้าให้ไว้ทุกข์ เ
พียงนุ่งขาวหรือดำเท่านั้นไม่ทรงให้โกนศีรษะไว้ทุกข์ อันแสดงให้เห็นถึงน้ำพระหฤทัยที่ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ แม้ในเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับพระธรรมิกราชันย์แล้วทรงเห็นว่าเป็นเรื่องทุกข์ของประชาชนเลยทีเดียวข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชทำให้เกิดเสียงร่ำไห้ดังระงมจากพระบรมมหาราชวังไปจกระทั้งถึงกระท่อมน้อยท่ามกลางความกันดารทุกคนต่างร่ำไห้เหมือนกันว่า“โอ้พระดวงประทีปแก้วของปวงชนใยจึงมาด่วนดับลับหายนับแต่นี้ไปจะได้ใครที่ไหนเล่าประดุจดังพระปิยมหาราชผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ได้”
Google